"ไม่ว่าคุณจะผลิตสินค้าอะไรอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องมีคนทำได้ถูกกว่า เร็วกว่า และดีกว่าคุณเสมอ"

ประโยคนี้เป็นประโยคหนึ่ง จากบทที่ 2 ของหนังสือ The Evil Plans (ปลุกปิศาจในตัวคุณ)

การซื้อขายความเชื่อมีตลาดที่กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด

เรามีชีวิตอยู่เพื่อค้นหาความหมาย เรามีชีวิตอยู่เพื่อช่วยให้ผุ้อื่นค้นหาความหมายในชีวิตพวกเขา ไม่มีอะไรจะสำคัญไปมากกว่านี้อีกแล้ว
คิดเรื่องคุณสมบัติของสินค้าให้น้อยหน่อย คิดเรื่องศักยภาพของมนุษย์เราให้มากหน่อย สินค้าของคุณบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์บ้างหรือเปล่า
ยิ่งสินค้าของคุณมีความหมายต่อมนุษย์มากเท่าไร ไอเดียของคุณก็ยิ่งดีมากเท่านั้น และแบรนด์ของคุณก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
เดี๋ยวนี้เพียงแค่คนเชื่อว่าสินค้าของคุณมีคุณสมบัติตามที่คุณกล่าวอ้างมันไม่เพียงพออีกแล้ว ผู้บริโภคต้องเชื่อในตัวคุณและสิ่งที่คุณทำด้วย ถ้าพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาก็จะไปมองหาเอาจากที่อื่น
คุณไม่ได้เป็นเจ้าของโมเลกุลต่างๆ ที่จับต้องไม่ได้ ผู้ที่เป็นเจ้าของมันคือพระเจ้าต่างหาก สิ่งที่คุณเป็นเจ้าของแน่ๆ ก็คือจิตวิญญาณของคุณเอง ไม่มีใครพรากมันไปจากคุณได้ และจิตวิญญาณของคุณนี่แหละที่เป็นตัวสร้างแบรนด์
ผู้คนพร้อมจะซื้อจิตวิญญาณของคุณ รวมไปถึงจุดมุ่งหมายและความเชื่ออันก่อกำเนิดขึ้นมาจากจิตวิญญาณของคุณ
เซธ โกดิน นักการตลาดชั้นนำซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและครูของผมเคยบอกกับผมว่า "คุณดื่มน้ำไปมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วก้ซื้อไวน์หรือชาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วด้วย คุณใส่รองเท้าได้แค่ครั้งละคู่เดียว จะไปนวดก็นวดได้ทีละครั้ง แต่สิ่งที่ขายได้คือ ความเชื่อไงล่ะ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่มีความหมาย ได้ทำสิ่งที่แตกต่าง ความรู้สึกเป็นกลุ่มก้อน นี่แหละสิ่งที่คนเราต้องการไม่มีที่สิ้นสุด"



หลังจากอ่านบทๆ นี้จบ ผมก็รู้สึกเหมือนโดนเอาอะไรตีเข้าให้ที่กะบาล

ถ้าเทียบกับประสบการณ์ในชีวิตของเด็กเนิร์ดติดเกมอย่างผม
มันคงเป็นข้อแตกต่างในความรู้สึก หลังจากที่เราเล่นเกมที่เป็นตำนาน และมี "ความลึก" อย่าง Final Fantasy, Assassin's Creed เทียบกับเกม Flash บนเว็บที่เราใช้เล่นฆ่าเวลาเฉยๆ เราอินกับมันต่างกัน

ถ้าขณะที่เราเล่น Rockman แล้วเราไม่ได้รู้สึกอยากจะหยุดยั้งตัวร้ายอย่าง Sigma, Capcom อาจจะล้มเหลวในการสร้าง Rockman ภาคนั้น

ในวงการปั้นกางเกงยีนส์ (การใส่กางเกงยีนส์เป็นเวลานานหลายๆเดือนติดต่อกัน โดยไม่ซัก เพื่อให้กางเกงยีนส์ขึ้นเป็นริ้วรอยที่เราสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งจะไม่มีทางเหมือนกางเกงยีนส์ตัวอื่นตัวไหนอีกเลย) ถ้าคนที่ปั้นกางเกงยีนส์นั้นไม่รู้สึกว่า กางเกงยีนส์คือผิวหนังผืนที่สองของเขา (The second skin) กางเกงยีนส์สำหรับปั้นก็คงไม่มีราคาแพงเป็นพันแบบนี้ ราคาบางตัวก็ขึ้นหลักหมื่น ส่วนยีนส์วินเทจบางตัวที่อายุมากๆ เข้าจนเป็นตำนาน ก็ราคาขึ้นหลักล้านไปแล้ว

เมื่อเราเอ่ยถึง iPhone, iPod, iPad เราจะไม่เพียงแค่นึกถึง Gadget ตัวหนึ่ง ที่ถูกแบบมาให้เรียบง่าย สามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยปุ่มไม่กี่ปุ่ม แต่สิ่งที่เรานึกถึงคือ Steve Jobs, ความเป็น Minimal & Perfectionist, ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาและคิดค้นอะไรใหม่ๆ, ความเนี๊ยบของศาสตร์และศิลป์ที่ผสมกันลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ฯลฯ และนั่นก็คือสิ่งที่ Apple พยายามจะพูดว่า พวกเขาเชื่อในอะไร...

เดวิด แมกเคนซี ผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของผม ก็เคยพูดไว้ว่า "หนังเรื่องหนึ่งจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจุดประสงค์ในการทำหนังเรื่องนั้นดีแค่ไหน"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น